ความลับของเหรียญคริปโต

เรื่องของเหรียญคริปโตนั้น บางคนบอกมันคืออนาคต บางคนก็บอกว่ามันคือปัจจุบัน แต่แน่นอนมันไม่ได้เป็นอดีตอีกต่อไปแล้ว การมาของเหรียญคริปโตจะเปลี่ยนแปลงโลกทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิง

มนุษย์เป็นผู้ให้ค่าต่อทุกสิ่งที่กำหนดขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนกัน ไม่ว่าจะเป็นทองคำ น้ำมัน ธนบัตร มนุษย์เป็นผู้ให้มูลค่ากับมันเพราะความมีอยู่อย่างจำกัดของมันทำให้ค้ำประกันความมั่นคงของรัฐบาลทุกประเทศ

เราไม่ได้เพิ่งอยู่กับคริปโต แต่เราอยู่กับมันมาตั้งแต่ก่อน Internet จะกำเนิด

ขอแยกคำว่า เหรียญคริปโต กับ คริปโต กันก่อน คริปโต มาจากคำว่า Cryptography คือการเข้ารหัส โลกเรานั้นได้สร้างอัลกอลิทึมในการเข้ารหัสเป็นหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับวิธีในการนำมาใช้ และการเข้ารหัสนั้นซับซ้อนแค่ใหน จุดประสงค์ที่สำคัญคือการป้องกันการถอดรหัส ยิ่งต้องป้องกันการถอดรหัสมากเท่าไรก็ต้องเข้ารหัสให้ซับซ้อนขึ้นมากเท่านั้น

เหรียญคริปโต หรือ Cryptocurrency ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1980 ดังนั้นบิทคอยน์ไม่ใช่เหรียญแรก แต่เป็นเหรียญแรกที่ประสบความสำเร็จในการทำให้มนุษย์สนใจสะสมมันต่างหาก

เรากลับมาที่การเข้ารหัสกันก่อน ระบบ Blockchain ที่มีอยู่ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่ มันคือระบบ P2P (Peer to Peer) ที่เคยมีเด็กหนุ่ม Hacker คนหนึ่งสร้างระบบแชร์ไฟล์ MP3 ด้วยการท้าทายกฎหมายลิขสิทธิ์ ด้วยการหั่นเพลงเป็นท่อนๆแล้วเข้ารหัสแต่ละท่อนก่อนส่งต่อไปมาระหว่างกัน การที่เพลงต้นฉบับที่ทุกคนมีเป็นไฟล์ดิจิตัลขนาดเดียวกัน ย่อมมีลายเซ็นในการเข้ารหัสที่เหมือนกัน แต่เมื่อถูกหั่นเป็นท่อนๆ (Blocks) แล้วส่งต่อผ่านกันไป ทำให้ทลายกฎหมายลิขสิทธิ์ได้เพราะไฟล์ที่ส่งผ่านกันระหว่างผู้ใช้เป็นเพียง File ขยะที่ไม่สมบูรณ์ จนกว่ามันจะไปผ่านโปรแกรม Napster และผสม Blocks ต่างๆเข้ามาเป็นไฟล์ดิจิตัลชิ้นหนึ่ง ที่เรียกว่า MP3 นั่นคือจุดกำเนิดของการใช้การเข้ารหัสในเชิงจริงจังแบบเป็นสังคม และ Blockchain (สมัยนั้นเรียก P2P)

เหรียญคริปโต จึงเกิดจากการเข้ารหัสข้อมูล Transactions ที่เกิดจากการ ถอน/ฝาก เงิน ระหว่าง Address ต่างๆที่แต่ละ Network ของเหรียญนั้นสร้างและกำหนดขึ้นมา โดยมีหลักการที่จะนำเอาข้อมูล Transactions ทั้งหมดไปเก็บไว้กับทุกๆเครื่องที่รันเป็น Node (เหมือนตอน Napster ที่ทุกคนต้องเปิดเครื่องทิ้งไว้เพื่อให้คนเข้ามาค้น MP3 ในเครื่องตัวเองได้) แต่เปลี่ยนหลักการให้การเก็บนั้นเป็นการเก็บที่เรียกว่า Mirroring คือทำให้ทุกๆเครื่องมีข้อมูลอันเป็นปัจจุบัน และทุกๆการทำธุรกรรมและคำนวณสำเร็จนั้นจะเกิด Reward ขึ้นมาเพื่อให้รางวัลเป็นเหรียญกลับไปยังคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ประมวลผลเครื่องนั้น

ความลับของเหรียญคริปโตที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ มันมีเวลาจำกัดของทุกๆเหรียญ ตามจำนวน Transactions ที่เกิดขึ้น และข้อมูลจะโตขึ้นไปเรื่อยๆจนคอมพิวเตอร์ธรรมดาไม่สามารถเข้ารหัสมันได้และต้องขยับไปใช้ GPU จนถึงเครื่องเฉพาะอย่าง Asic Miner

ดังนั้นเหรียญที่บอกว่าไม่มีศูนย์กลาง (Decentralized) จะไม่เกิดขึ้นจริงบนโลกนี้ เพราะมันจะมีวันที่ต้องตายลงจากการประมวลผลไม่ได้

นั่นคือเหตุที่ทุกรัฐบาลทราบดี ทั้งข้อจำกัด และ การไร้การควบคุม ไม่มีเจ้าภาพ ก็ไม่มีรัฐบาลใหนกล้าที่จะมั่นใจให้เหรียญดิจิตัลได้คลอดออกมาใช้งาน

รัฐบาลจึงสร้าง CBDC ขึ้นมา เป็นเหรียญที่ควบคุมโดยแบงค์ชาติ เป็น Centralized ไม่ใช่ Decentralized แปลว่าคนที่รัน Node นั้นก็เป็นระบบปิด คือเปิดให้แชร์ Chain กันระหว่างธนาคารพาณิชย์ทั่วไปเท่านั้น ดังนั้น Blockchain ของ CBDC จึงเป็นแบบ Centralized คือมีเจ้าภาพควบคุม เพื่อป้องกันการควบคุมไม่ได้ในอนาคต ทั้งจากการปั่นราคา การเพิ่ม Supply ของเหรียญโดยไม่มีคนกำหนด

ทุกวันนี้ทุกคนให้ค่าบิทคอยน์ ก็เหมือนที่ทุกคนมอบความหมายอันมีค่าให้กับเพชร ทอง น้ำมัน ทั้งๆที่ของพวกนี้ก็มีเจ้าภาพเช่นกัน สังคมคนรุ่นใหม่มองว่าบิทคอยน์คืออนาคตของการปลดแอกระบบธนาคารที่ขังทุกคนไว้กับระบบตราสารหนี้เดิม

การเกิดขึ้นของเหรียญคริปโตใหม่ๆที่เกิดขึ้นทุกวัน เป็นเพียงช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างระบบเงินเดิมไปยังระบบเงินใหม่ที่เป็นดิจิตัล

เหรียญคริปโตที่จะเกิดขึ้นจริงและใช้จริง คือ CBDC เท่านั้น เพราะมันกำหนดและควบคุมโดยแบงค์ชาติโดยตรง ดังนั้นมันจะมาเพื่อตีกรอบการหลบเลี่ยงภาษี เงินทุนสีเทา และการทุจริตที่ปราศจากการตรวจสอบ

แต่เหรียญคริปโตที่เป็น Decentralized จะไม่ตายลงสักทีเดียว มันจะเหลือเพียงไม่กี่เหรียญที่มีคุณสมบัติในการซ่อนตัวมันเองจากการตรวจสอบของภาครัฐได้ และนั่นคือช่องของการหลบภาษี ช่องจ่ายเงินของทุนสีเทา และธุรกิจสีดำ ที่ยังคงสามารถนำเอาเงินเหล่านั้นไปผ่าน Exchange เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินขาวสะอาดในโลกของ CBDC ได้

สุดท้ายนี้ คุณได้ถือเงินดิจิตัลถูกตัวแล้วหรือยัง นั่นคือคำถามที่ไม่มีคำตอบใบ้ให้กับคุณว่าเหรียญใหนจะเป็นเหรียญที่มีมูลค่ามากเมื่อ CBDC ถูกเปิดใช้งาน

และการเลือกเหรียญผิด หรือ Miner ไปรันบน Blockchain ของเหรียญที่ผิด จะเท่ากับการที่ลงทุนเสียทั้งเวลาและเงิน ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น Exchange จะปิดการเข้าถึงการแลกเงิน และเหรียญของคุณที่คิดว่าจะมีค่า ก็จะสูญสิ้นลง

จำไว้ว่าเหรียญคริปโตมีรูปแบบที่ตายตัว Stable Coin จะเป็นหลักการของ CBDC นอกนั้น จะถือเป็น AltCoin , Utility Token , etc ซึ่งตราบใดที่มันไม่สามารถเชื่อม Exchange เข้าไปกับ CBDC ได้ สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดก็จะไร้ความหมาย

ทุกรัฐบาลในโลกนี้ พยายามเข้าควบคุมเหรียญต่างๆ ออกกฎหมายเพื่อควบคุม และพยายามพัฒนาโปรแกรม Reverse Transactions เพื่อที่จะค้นหาต้นตอของทุกๆการกระทำให้ได้เหมือนที่ตัวเองเคยควบคุมได้ในช่องทางธนาคาร เป้าหมายคือเฟ้นหาธุรกิจสีเทา และการหลบเลี่ยงภาษี

แต่เหรียญดิจิตัลที่ไม่ใช่ CBDC คืออนาคต คือการปลดแอกตัวเองออกจากการควบคุมของธนาคาร และเมื่อนั้นเหรียญที่ถูกต้องจะเป็นผู้กำหนดชะตาของประชากรทั้งหมด ที่ต้องการหลุดพ้นจากการควบคุมระบบใหม่ที่ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดในการหลบเลี่ยง

โลกไม่ได้มีแค่สีขาว ยังมี สีเทา สีดำ แม่ค้าทุกคนทั้งบนทางเท้าหรือโลกออนไลน์ ล้วนแล้วแต่ไม่เคยจ่ายภาษี เป็นสีเทามาตลอดชีวิต เกมกำลังจะเปลี่ยนและผู้ที่ตามเกมทันจะเป็นคนที่หายใจต่อไปได้ นี่คือความลับของเหรียญดิจิตัล

About Author